ความหมายเครือข่ายใยแมงมุม (World Wide Web :WWW)
WWW (World Wide Web) หรือ เครือข่ายใยแมงมุม จะเป็นตัวช่วยให้การท่องไปในโลก อินเทอร์เน็ตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ง่ายต่อการใช้งาน เพราะมีการแสดงผลแบบ Hypertext ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งเมื่อเข้าใช้งาน แล้วจะทำให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเกิดความสะดวกสบายในการใช้งาน ในการใช้งาน WWW จะทำให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมีความรู้สึกเสมือนหนึ่งว่าข้อมูลที่มีอยู่ใน ทุกมุมโลกนั้น อยู่เพียงแค่ปลายมือ ที่สามารถค้นหาได้ภายในไม่กี่นาที
|
เครือข่ายใยแมงมุม (World Wide Web) |
ความหมายและประเภทของ Domain name โดเมนเนม (Domain Name) เป็น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบของอินเทอร์เน็ตดังนั้น เพื่อให้เข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโดเมนเนม จะต้องรู้เรื่องพื้นฐานและคำศัพท์เบื้องต้นในโลกของอินเทอร์เน็ตอย่างก่อน โดยเริ่มตั้งแต่คำว่า WWW หรือ World Wide Web หรือ Web หรือ W3 ซึ่งเปรียบได้กับห้องสมุดที่ให้ใคร ๆ เข้ามาศึกษาค้นหาข้อมูล หรือมีข้อมูลสำหรับนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาวางแล้วให้ผู้ที่สนใจเข้ามา ศึกษาค้นคว้าจากห้องสมุด WWW ซึ่งจะแตกต่างจากห้องสมุดทั่ว ๆ ไปตรงที่เป็นการใช้งานผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นประมาณ Electronics Library หรือ e-library นั่นเองและที่สำคัญคือ ทั้งโลกมีอยู่ห้องเดียว ดังนั้น ถ้าคุณเข้ามาหาอะไรแล้วไม่เจอ ก็ไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปหาที่ห้องสมุดอื่น ๆ ให้อีกหาอยู่ที่ e-library ที่เดียวมีทุกอย่างที่ต้องการ โดเมนเนม เป็นชื่อที่ขอจดทะเบียนไว้เพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการเรียกใช้งาน อินเทอร์เน็ต ไม่ได้เป็นชื่อหรือตำแหน่งของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการข้อมูลบนอิน เทอร์เน็ต ส่วนประกอบของโดเมนเนม โดเมนเนมจะประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้ ส่วนที่ 1 สับโดเมน (Sub Domain Name) ส่วนที่ 2 Second – Level Domain Name ส่วนที่ 3 Top – Level Domain ความเป็นมาของโดเมนเนม (Domain Name ) อินเทอร์เน็ต (Internet) เริ่มต้นมาจากโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการศึกษาและระบบเครือข่าย ที่รู้จักกันดีในนามของโครงการ “ARPANET” ซึ่งระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้งานตรงนี้ก็คือ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocol) โดยใช้ระบบปฏิบัติการ IUNIX ซึ่งช่วยให้การเชื่อมโยงสื่อสารผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้รับความสนใจจากคนทั่ว โลก ในระยะแรก การใช้งานในอินเทอร์เน็ตไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรนัก เพราะเครื่องที่อยู่ใน เครือข่ายมีไม่มาก แต่ต่อมาเมื่อมีคนสนใจและมีเครือข่ายการใช้งานที่กว้างมากขึ้น ก็เลยทำให้เกิดความต้องการในการใช้ชื่อที่ง่ายและไม่ซับซ้อน จำง่าย แทนที่จะใช้ในลักษณะของ IP Address ซึ่งเป็นชุดตัวเลขที่ใช้อยู่ ซึ่งทำให้เกิดการศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องของ “Name Server” ขึ้นมาครั้งแรก ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องรู้จัก และนี่ก็คือต้นกำเนิดของการใช้โดเมนเนมในปัจจุบันและหลังจากนั้นไม่ไม่นาน Domain Name System (DNS) ชุดแรกที่ถูกนำออกมาให้ทุกคนได้ใช้งานมีอยู่ด้วยกัน 5 แบบ โดยเราสามารถแยกความแตกต่างของโดเมนเนมได้จากตัวอักษรย่อที่ต่อจากชื่อ เช่น www.****.com หรือ www. ****.net หรือ www. ****.org ระยะแรกนี้การจดโดเมนเนมจะทำได้โดยไม่ต้องเสียเงิน โดยมี IANA เป็นผู้ดูแล แต่ระยะหลังเมื่อทาง IANA และ NSF (National Science Foundation) ได้ร่วมกันจัดตั้ง InterNIC ขึ้นมา เริ่มมีการคิดค่าใช้จ่ายในการ จดทะเบียนตามมา 100 USD ใน 2 ปีแรกของระยะแรกและลดลงมาเป็น 70 USD โดยมี ICANN หรือ Internet Corporation for Assigned Names and Numbers ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมา ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต (TCP/IP) การสื่อสารข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ หมายถึง การโอนถ่ายหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทาง กับคอมพิวเตอร์ปลายทาง โดยในการโอนถ่ายหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้ จำเป็นที่จะต้องมีการอาศัยภาษากลางในการสื่อความหมายระหว่างกันเพื่อให้เกิด เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้การสื่อสารระหว่างกันภายในเครือข่ายได้อย่างรวมแล้วและมี ประสิทธิภาพ โดยทั่ว ๆ ไปแล้วเรียกว่า Protocol เป็นเช่นนี้จะเห็นได้ว่า Protocol นั้นหมายถึง มาตรฐานทางด้านภาษาสื่อสารในการที่จะควบคุมการรับส่งข้อมูลระหว่างต้นทางและ ปลายทาง สำหรับการสื่อสาร บนอินเทอร์เน็ตนั้นได้ใช้ Protocol ที่มีชื่อว่า TCP/IP ( Transmission Control Protocol / Internet Protocol ) เป็นโปรโตคอลมาตรฐานในการสื่อสารบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อันเกิดจากมาตราฐาน 2 แบบ คือ TCP มีหน้าที่ในการแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนย่อย ๆ ซึ่งเรียกว่า Packet ที่มีขนาดเล็กกว่า 1,500 ตัวอักษร และทำหน้าที่ประกอบข้อมูลที่แบ่งย่อยออกมาเหล่านี้ในฝั่งของปลายทางที่รับ ข้อมูล ส่วน IP นั้น ทำหน้าที่ในการกำหนดเส้นทางของการสื่อสารจากต้นทางไปยังปลายทาง หลักการทำงานของ TCP/IP หลักการทำงานของ TCP/IP มีขั้นตอนการทำงานดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 TCP ทำหน้าที่ในการที่แตกข้อมูลที่ต้องการออกเป็นส่วน ๆ โดยแต่ละส่วนย่อยนี้เรียกว่า Packet โดยแต่ละ Packet จะมีส่วนหัวเรียกว่า Header ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูล เกี่ยวกับลำดับของแพ็กเก็ตซึ่งจะถูกนำมาใช้เพื่อประกอบข้อมูลกลับมายังฝั่ง ของผู้รับ ขั้นตอนที่ 2 Packet แต่ละ Packet จะถูกนำส่งไปแต่ละ IP ซึ่ง Packet แต่ละ Packet จะมี IP เป็นของตนเอง ภายใน IP แต่ละตัวจะถูกกำหนดที่อยู่ปลายทางของผู้รับ และผู้ส่ง โดยจะมีการกำหนดช่วงเวลาและอายุของ Packet ขั้นตอนที่ 3 Packet ถูกส่งออกไปบนระบบอินเทอร์เน็ตผ่านเร้าเตอร์ ( Router) ซึ่ง IP จะถูกตรวจสอบที่อยู่ปลายทางเมื่อผ่านเร้าเตอร์แต่ละตัว หลังจากนั้นเร้าเตอร์จะทำหน้าที่หาช่องทางในการ ขั้นตอนที่ 4 เมื่อ Packet เดินทางไปถึงปลายทางเรียบร้อยแล้ว TCP จะทำหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูลภายใน Packet อีกครั้ง ว่าครบถ้วนและถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ครบหรือไม่ถูกต้องจะทำการทิ้ง Packet นั้นไปแล้วเรียกกลับไปต้นทางใหม่อีกครั้ง ขั้นตอนที่ 5 เมื่อปลายทางนั้นได้รับ Packet ที่ถูกต้องครบทั้งหมดแล้ว TCP จะทำหน้าที่ประกอบข้อมูลให้พร้อมที่จะใช้งานต่อไป |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น